หุ่นยนต์สร้างงาน ในยุคที่คนตกงาน

kiva-systems

ในสมัยที่คอมพิวเตอร์เริ่มเป็นที่แพร่หลาย ก็มีหลายคนเชื่อว่ารูปแบบการทำงานจะเปลี่ยนไป คอมพิวเตอร์จะทำงานให้เรา คนเราจะมีเวลาว่างมากขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เหตุการณ์นั้นกำลังเกิดขึ้นซ้ำในยุคที่หุ่นยนต์กำลังรุ่งเรือง

มุมมองในเชิงนิยายวิทยาศาสตร์แบบมองโลกในแง่ดีจะมองว่า เทคโนโลยีทำให้เราไม่ต้องทำงานหนัก งานพวกนี้โยนไปให้เทคโยโลยีต่าง ๆ ทำแทน แล้วเราไปทำงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์แทน แต่ในความเป็นจริง อัตราการเกิดของงานในรูปแบบใหม่นี้ช้ากว่าอัตราการถูกทดแทนงานด้วยเทคโนโลยี ทำให้เกิดการตกงานจากเทคโนโลยี (technological unemployment)

ในยุคที่หุ่นยนต์กำลังเข้ามามีบทบาทมาก หลายฝ่ายกังวลว่าหุ่นยนต์จะมาแย่งงานมนุษย์ แต่จากการสำรวจพบว่า 76 บริษัทที่ติดตั้งหุ่นยนต์อุตสาหกรรมหรือระบบคลังเก็บสินค้าอัตโนมัติสร้างงานใหม่กว่า 294,000 อัตราใน 3 ปีที่ผ่านมา Amazon ที่ซื้อ Kiva Systems ไป จ้างพนักงานเพิ่มขึ้นกว่า 89,000 รายใน 3 ปีที่ผ่านมา Tesla Motors ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่มีโรงงานผลิตที่ใช้หุ่นยนต์ที่ซับซ้อนที่สุดโรงงานหนึ่งจ้างพนักงานเพิ่มขึ้น 6,000 ราย และมีแรงงานอีกจำนวนมากที่ถูกจ้างเข้าไปทำงานในบริษัทที่สร้างหุ่นยนต์ สหภาพยุโรปได้ประกาศว่าจะมีการลงทุนในอุตสาหกรรมหุ่นยนต์อย่างยิ่งใหญ่ที่จะสร้างงานอีกกว่า 240,000 อัตรา (สาเหตุที่หุ่นยนต์ช่วยสร้างงานเพราะ หุ่นยนต์ทำให้ช่วยสร้างความได้เปรียบในการดำเนินกิจการ เช่น ทำงานได้ประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำงานได้หลากหลายมากขึ้น ทำให้กิจการสามารถเติบโตได้ และเกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น – เพิ่มเติมโดยผู้เขียน)

ถึงแม้อุตสาหกรรมหุ่นยนต์จะสร้างงานเพิ่มกว่า 1 ล้านอัตรา แต่ International Labor Organization (ILO) รายงานว่ามีงานกว่า 200 ล้านอัตราที่ถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยี งานพวกนี้หายไปไหน งานพวกนี้ไม่ได้ถูกหุ่นยนต์แย่ง แต่ถูกซอฟท์แวร์แย่งไปในงานธนาคาร ประกันภัย ท่องเที่ยว ร้านค้า และอุตสาหกรรมบริการอื่น ๆ

กลายเป็นว่าหุ่นยนต์เป็นพระเอกสร้างงานในยุคที่ซอฟท์แวร์กลับกลายเป็นผู้ร้ายแย่งงานไป

ภาพและที่มา Robohub

LINE it!